P M I I

Loading

          ในยุคที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น AIIoT และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเข้ามามีบทบาทสำคัญ หลายคนอาจตั้งคำถามว่า ‘การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน’ (Preventive Maintenance: PM) ยังจำเป็นอยู่หรือไม่ 


          คำตอบคือ ยังจำเป็น และมีความสำคัญอย่างมากในหลาย ๆ สถานการณ์ เพราะ PM เป็นแนวทางที่ช่วยให้องค์กรป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะส่งผลเสียหายต่อการผลิต และธุรกิจโดยรวมได้ เพราะอะไรถึงบอกแบบนั้น เราวันนี้เราขอเล่าให้ทุกคนฟัง 

PM

ทำไมองค์กรยังต้องมีการซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน
แม้จะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ

    1. ลดโอกาสเกิด Downtime ที่ไม่คาดคิด
    • การหยุดทำงานของเครื่องจักรกะทันหันสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลทั้งในแง่เวลาและต้นทุน การซ่อมบำรุงเชิงป้องกันช่วยให้เครื่องจักรทำงานได้ต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ

    • แม้เทคโนโลยีการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Maintenance) จะสามารถระบุแนวโน้มการเสียได้ แต่การบำรุงรักษาเชิงป้องกันยังคงเป็นการ “กันไว้ดีกว่าแก้” ที่สำคัญ

    2. รักษาประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรให้คงที่
    •  เครื่องจักรที่ไม่ได้รับการดูแลตามรอบเวลาอาจเสื่อมประสิทธิภาพเร็วกว่าที่ควร ส่งผลต่อคุณภาพการผลิตและความปลอดภัย
    3. รองรับเครื่องจักรที่ไม่มีระบบ IoT หรือเทคโนโลยีขั้นสูง
    • ในโรงงานหรือองค์กรที่ยังมีเครื่องจักรรุ่นเก่า (Legacy Equipment) ซึ่งไม่รองรับเซ็นเซอร์อัจฉริยะหรือการเชื่อมต่อข้อมูล การบำรุงรักษาเชิงป้องกันยังเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด

    4. ต้นทุนซ่อมแซมเมื่อเครื่องจักรเสียหายสูงกว่า
    • การซ่อมบำรุงเมื่อเครื่องเสียหาย (Corrective Maintenance) มักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าหลายเท่า เพราะนอกจากค่าซ่อมแล้วยังต้องเสียโอกาสการผลิต

    5. สนับสนุนมาตรฐานความปลอดภัย (Safety Compliance)
    • การบำรุงรักษาเชิงป้องกันช่วยให้เครื่องจักรทำงานอย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อพนักงาน และสภาพแวดล้อม

898
906

ตัวอย่างแนวทางการใช้ PM อย่างคุ้มค่า

    1. วางแผนบำรุงรักษาอย่างเป็นระบบ 
  • จัดตารางการบำรุงรักษาตามรอบเวลาหรือชั่วโมงการทำงานของเครื่องจักร เช่น เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง, ตรวจสอบระบบหล่อลื่น, เปลี่ยนอะไหล่สิ้นเปลือง
  • ใช้ PMII ช่วยจัดการและติดตามตาราง PM ได้อย่างแม่นยำ 
    2. ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการวางแผน PM
  • บันทึกประวัติการซ่อมบำรุงและปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อนำมาวิเคราะห์แนวโน้มการเสื่อมสภาพ

  • ใช้ข้อมูลจริง (Historical Data) มาปรับปรุงตาราง PM ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

    3. ผสมผสาน PM กับ Predictive Maintenance (PdM)
  • ในองค์กรที่มีเทคโนโลยี เช่น IoT และเซ็นเซอร์ สามารถใช้ PM ควบคู่กับ PdM ได้อย่างลงตัว

  • ตัวอย่างเช่น การตั้งรอบบำรุงรักษาพื้นฐาน และเสริมการตรวจจับความผิดปกติแบบเรียลไทม์ด้วยเซ็นเซอร์

    4. การจัดการอะไหล่สำรองให้เหมาะสม (Spare Parts Management)
  • เตรียมอะไหล่ที่จำเป็นล่วงหน้า เพื่อลดความล่าช้าในการซ่อมบำรุงตามแผน

  • ใช้ระบบบริหารคลังอะไหล่ที่เชื่อมโยงกับ PM Schedule

 

ตัวอย่างผลลัพธ์จากการทำอย่างมีประสิทธิภาพ

  • ลด Downtime ได้ถึง 30-50% เนื่องจากป้องกันการหยุดทำงานกะทันหัน

  • ยืดอายุการใช้งานเครื่องจักรได้ยาวนานขึ้น ช่วยลดการลงทุนซื้อเครื่องใหม่

  • เพิ่มความปลอดภัยในโรงงาน เพราะเครื่องจักรได้รับการตรวจสอบ และดูแลอย่างสม่ำเสมอ

  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม เมื่อเทียบกับการซ่อมหลังเครื่องจักรเสีย

7187

สรุปฉบับ PMII 

          แม้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Predictive Maintenance จะเข้ามาช่วยยกระดับงานซ่อมบำรุงให้แม่นยำมากขึ้น แต่ การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) ยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกรณีที่เครื่องจักรยังไม่มีระบบเชื่อมต่อข้อมูลอัจฉริยะ การทำ PM อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพจะช่วยให้องค์กรสามารถลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และรักษามาตรฐานความปลอดภัยได้อย่างยั่งยืน แต่การทำ PM ที่ตรงตามแผนนั้น หากไม่ได้มีการวางแผนที่ดีพอ ก็อาจจต้องกลับไปยังวงโคจรเดิม ทางที่ดีคือการมีระบบช่วยดูแลแผนงานบำรุงรักษา มีปฏิทินการทำแผนที่ชัดเจน ที่สำคัญหากมีการผูกอะไหล่ กับแผนงานก็ยิ่งทำให้การทำแผนที่กล่าวมานั้น สำเร็จ และตรงต่อความคาดหวัง จนทำให้ลดค่าใช้จ่ายในเรื่องอะไหล่ไปได้มากเลยทีเดียว หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในด้านนี้ เราสามารถช่วยคุณได้ 

About Us

Follow Us

Copyright 2024 © IS SOFTWARE