Loading
ปัญหาที่สำคัญที่สุดสองประการของการนำเอาระบบ CMMS หรือ ระบบการจัดการงานบำรุงรักษาเครื่องจักร และอุปกรณ์ด้วยคอมพิวเตอร์ (Computerized Maintenance Management System) มาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม หรือสถานประกอบการที่ให้การบริการ (โรงแรม โรงพยาบาล และศูนย์การค้า) ก็คือความล้มเหลวของการนำมาใช้และต้องเลิกใช้ไปในที่สุด และการใช้ประโยชน์จากระบบที่นำมาใช้ไม่เต็มที่
ความล้มเหลวของการนำเอาระบบ CMMS มาใช้งานเกิดจากสาเหตุหลายประการ ตั้งแต่ความไม่เข้าใจในระบบที่ท่องแท้และถูกต้อง การเลือกโปรแกรมที่ไม่เหมาะสม จนถึงการจัดการโครงการและการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นไม่มีประสิทธิภาพและไม่ครบถ้วน
ส่วนการใช้ประโยชน์จากระบบไม่เต็มที่นั้น โดยทั่วไปจะมีสาเหตุเช่นเดียวกับสาเหตุของความล้มเหลวของการนำเอาระบบ มาใช้งานแต่มีระดับความรุนแรงที่น้อยกว่า และไม่ถึงขั้นที่ทำให้การนำเอาระบบมาใช้จะล้มเหลวจนต้องเลิกใช้ไปในที่สุด นอกจากนี้การใช้ประโยชน์จากระบบไม่เต็มที่ยัง เกิดมาจากการขาดเป้าหมายที่ชัดเจนที่สามารถวัดได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดการ “กำหนดวิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ และภารกิจที่ชัดเจน”
เมื่อพิจารณาถึงวงจรอายุของโครงการแล้ว จะพบว่าโครงการต่างๆต้องการระยะการดำเนินงานที่ยาวเพียงพอที่จะให้ระบบ รูปแบบ หรือวิธีการบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ หรือต้องการให้มีการดำเนินการไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการสิ้นสุด หรือมีการผนวกเข้ากับงานที่ต้องปฏิบัติเป็นประจำ ถ้าเป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์ก็มักต้องการระยะเวลาใช้งานที่ยาวเพียงพอที่จะให้ผลตอบแทนซึ่งคุ้มค่ากับการลงทุนก่อนที่จะมีการเลิกใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆไป สำหรับโครงการนำเอาระบบ CMMS
การกำหนดวิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ และภารกิจของโครงการต่างๆที่ชัดเจน และให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรับรู้ ยอมรับ และตระหนักถึงอยู่เสมอในระหว่างการดำเนินงานนั้น จะเป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้การดำเนินงานตามโครงการนั้นๆบรรลุถึงวิสัยทัศน์และวัตถุประสงค์ที่กำหนด
วิสัยทัศน์หรือความคาดหวังในอนาคตของการนำเอาระบบมาใช้ ก็คือ การปรับปรุงและพัฒนาการจัดการงานบำรุงรักษาในสถานประกอบการให้ก้าวหน้าไปในแนวทางที่ถูกต้อง และไปสู่สภาพแวดล้อมของการทำงานที่มีการวางแผนมากขึ้น โดยลักษณะของงานหรือกิจกรรมของการนำเอาระบบมาใช้ที่นิยมเรียกว่าภารกิจนั้นมักจะประกอบด้วย
สำหรับวัตถุประสงค์ของการนำเอาระบบ CMMS มาใช้ตามลักษณะของงานหรือกิจกรรมดังกล่าวข้างต้นสามารถแยกออกได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือการเพิ่มประสิทธิผลเครื่องจักรโดยรวม ( Overall Equipment Effectiveness ) ให้สูงสุดด้วยการปฏิบัติงานบำรุงรักษาทุกขั้นตอนอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และส่วนที่สองคือการลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับโปรแกรมการบำรุงรักษาที่ดำเนินการให้ต่ำที่สุด
เป้าหมายของการนำเอาระบบ CMMS มาใช้จะต้องสนับสนุนวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ และจะต้องวัดได้ในช่วงเวลาที่กำหนดโดยสามารถแสดงระยะหรือขั้นตอนของความสำเร็จตามเส้นทางที่จะนำไปสู่วัตถุประสงค์ดังกล่าว การกำหนดเป้าหมายสามารถทำได้โดยการพิจารณาระบที่ใช้งานอยู่หรือกำลังที่จะนำมาใช้งานว่าจะให้ข้อมูลในรูปของรายงานต่างๆอะไรบ้างซึ่งสามารถนำมากำหนดเป็นเป้าหมายที่วัดได้และแสดงถึงระยะหรือขั้นตอนของความสำเร็จบนเส้นทางที่นำไปสู่วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
CMMS ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์นี้โดยทั่วไปจะเป็นรายงานการหยุดเครื่องจักรในช่วงระยะเวลาต่างๆ ซึ่งก็สามารถนำมากำหนดเป้าหมายสำหรับวัตถุประสงค์ส่วนแรกนี้ได้คือจำนวนเปอร์เซ็นต์ของการหยุดเครื่องจักรที่จะลดลง (การเพิ่มประสิทธิผลเครื่องจักรโดยรวมคิดเป็นเปอร์เซ็นต์) ในช่วงระยะเวลาที่กำหนด โดยการตรวจสอบการชำรุดเสียหายที่ทำให้ต้องหยุดเครื่องจักรและอุปกรณ์จากข้อมูลที่จะได้จากระบบ CMMS ได้แก่ ประวัติของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหาย และประวัติของเครื่องจักรและอุปกรณ์แบบและชนิดเดียวกัน พยายามหาข้อแตกต่างและพิจารณาดูว่าข้อแตกต่างนี้มีผลต่ออายุการใช้งานที่ยาวกว่าหรือสั้นกว่าหรือไม่ และพิจารณาดูต่อไปว่าทำไมเครื่องจักรและอุปกรณ์แบบและชนิดเดียวกันนี้จึงไม่ชำรุดเสียหาย
ความต้องการให้การปฏิบัติงานบำรุงรักษาทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และเมื่อพิจารณาจากรายงานที่ได้จากระบบ แล้วก็จะมีเป้าหมายซึ่งแสดงถึงความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานที่สามารถกำหนดได้หลายเป้าหมาย ได้แก่ เปอร์เซ็นต์ของงานที่ต้องทำซ้ำซึ่งถ้าสูงก็แสดงว่าการปฏิบัติงานบำรุงรักษาอาจยังไม่ถูกต้องและ/หรือไม่ได้ทำการแก้ไขที่สาเหตุที่แท้จริงของการชำรุดขัดข้อง เปอร์เซ็นต์ของงานบำรุงรักษาที่มีแผนและเปอร์เซ็นต์ของงานบำรุงรักษาที่ไม่มีแผน
ซึ่งถ้าเปอร์เซ็นต์ของงานบำรุงรักษาที่มีแผนสูงและเปอร์เซ็นต์ของงานบำรุงรักษาที่ไม่มีแผนต่ำก็แสดงว่าการวางแผนงานบำรุงรักษาเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเปอร์เซ็นต์ของงานบำรุงรักษาที่มีแผนต่ำและเปอร์เซ็นต์ของงานบำรุงรักษาสูงก็แสดงว่าการวางแผนงานบำรุงรักษายังไม่เหมาะสมและ/หรือไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้หากต้องการพิจารณาถึงวิธีการบำรุงรักษาแต่ละวิธีว่าเหมาะสมและมีประสิทธิผลหรือไม่ก็สามารถดูได้จากผลของวิธีการบำรุงรักษานั้นๆที่มีต่อความเชื่อถือได้ของเครื่องจักรและอุปกรณ์
ถ้าวิธีการบำรุงรักษาที่ปฏิบัติต่อเครื่องจักรและอุปกรณ์ไม่มีผลต่อความเชื่อถือได้ก็แสดงว่าวิธีการบำรุงรักษาดังกล่าวไม่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น การบำรุงรักษาป้องกันที่ปฏิบัติต่อมอเตอร์ไฟฟ้า กำหนดให้มีการวัดความต้านทานของฉนวนของมอเตอร์แต่ไม่มีเกณฑ์ในการประเมินค่าความต้านทานที่วัดได้ ค่าความต้านทานของฉนวนที่วัดได้ก็จะไม่มีความหมาย ซึ่งก็แสดงว่าการบำรุงรักษาที่ปฏิบัติต่อมอเตอร์ดังกล่าวก็จะไม่มีประโยชน์เพราะไม่ได้เพิ่มความเชื่อถือได้ของมอเตอร์ไฟฟ้านั้นๆเลย เป็นต้น
วัตถุประสงค์ประการที่สองก็คือ การลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับโปรแกรมการบำรุงรักษาที่ดำเนินการอยู่ให้ต่ำที่สุด ซึ่งเมื่อพิจารณารายงานที่จะได้จากระบบ ที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาก็จะมีทั้งค่าใช้จ่ายทางตรงที่ได้จากค่าใช้ของงานบำรุงรักษาแต่ละงานที่ได้ดำเนินการไปแล้วในแต่ละช่วงเวลา และค่าใช้จ่ายทางอ้อมที่สามารถคำนวณได้จากเวลาที่เครื่องจักรและอุปกรณ์ต้องหยุดทำงานและค่าสูญเสียโอกาศในการผลิตที่เกิดจากการหยุดของเครื่องจักรนั้นๆ โดยสามารถนำมากำหนดเป็นเป้าหมายได้ในรูปของจำนวนเปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายโดยรวมที่จะลดลง และอาจแยกเป็นเปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายทางตรงและค่าใช้จ่ายทางอ้อมที่จะลดลงซึ่งก็จะทำให้การวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถทำได้ละเอียดมากขึ้น
การลดค่าใช้จ่ายของการบำรุงรักษาทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากจะเป็นผลโดยตรงมาจากการลดการหยุดของเครื่องจักรและอุปกรณ์ลง ซึ่งเป็นเป้าหมายของวัตถุประสงค์ส่วนแรกของการนำเอาระบบมาใช้แล้ว ยังสามารถลดค่าใช้จ่ายของการบำรุงรักษาทั้งทางตรงและทางอ้อมได้โดยการใช้ระบบ ในการจัดการและควบคุมทรัพยากรที่ใช้ในการบำรุงรักษาให้มีประสิทธิภาพ การจัดการและการควบคุมทรัพยากรที่สำคัญประการแรกก็คือ การจัดการวัสดุและอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษา ตัวอย่างเช่น การจัดประเภทวัสดุและอะไหล่เป็นวัสดุและอะไหล่ที่สามารถใช้ร่วมกันได้โดยการนำเอาข้อมูลของวัสดุและอะไหล่ที่จะใช้ในการบำรุงรักษาแต่ละรายการจากระบบ มาพิจารณาว่าวัสดุและอะไหล่ใดบ้างที่สามารถใช้ร่วมกันได้ ( Common Parts ) เช่น ตลับลูกปืน สายพาน โซ่ และสารหล่อลื่น เป็นต้น
ซึ่งก็จะเป็นผลให้ความต้องการในการสำรองอะไหล่ไว้ในคลังลดลง ทำให้ค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าวัสดุของการบำรุงรักษาลดลงไปด้วย เป็นต้น และประการที่สองก็คือการจัดการบุคลากรและทีมงานบำรุงรักษา ซึ่งระบบ CMMS โดยทั่วไปจะสามารถจัดการและควบคุมภาระงานของแต่ละบุคคลและแต่ละทีมงานให้เหมาะสมอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นผลให้การทำงานล่วงเวลาลดลง
นอกจากนี้จากรายงานสถานะของงานบำรุงรักษาแต่ละงานและเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติงานบำรุงรักษาแต่ละงานที่จะได้จากรายงานของระบบ CMMS ยังสามารถนำมาวิเคราะห์ปัญหาของการปฏิบัติงาน เพื่อหาวิธีแก้ไขต่อไปได้อีกด้วย ซึ่งผลของการแก้ไขก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาลงในที่สุด
ที่มา : CMMS Learning Center
สถาบันนวัตกรรมเทคโนโลยีไทย-ฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
บริษัท ไอเอส ซอฟต์แวร์ จำกัด
Cookie | Duration | Description |
---|---|---|
cookielawinfo-checkbox-analytics | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Analytics". |
cookielawinfo-checkbox-functional | 11 months | The cookie is set by GDPR cookie consent to record the user consent for the cookies in the category "Functional". |
cookielawinfo-checkbox-necessary | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookies is used to store the user consent for the cookies in the category "Necessary". |
cookielawinfo-checkbox-others | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Other. |
cookielawinfo-checkbox-performance | 11 months | This cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Performance". |
viewed_cookie_policy | 11 months | The cookie is set by the GDPR Cookie Consent plugin and is used to store whether or not user has consented to the use of cookies. It does not store any personal data. |